เปิดเวบเมื่อ |
26/11/2552 |
ปรับปรุงเวบเมื่อ |
13/08/2563 |
ผู้ชมทั้งหมด |
|
|
สินค้าทั้งหมด |
67 |
|
|

|
|
บทความ
แอลอีดีคืออะไร ^.^ ???? (อ่าน 3995/ตอบ 0) LED คืออะไร ???? ผู้เขียน: อาเขต บุญทาราม
LED LED LED LED ...
เราๆ ต้องอาจต้องส่งสัยว่าแอลอีดีคืออะไร เราจะรู้จักเจ้าแอลอีดีไปทำไม ลองอ่านบทความสักนิดแล้วคุณจะรักแอลอีดี+++
LED ย่อมาจากภาษาอังกฤษคำว่า Light Emitting Diode หรือถ้าแบบไทยๆ คืออุปกรณ์สิ่งประดิษฐ์ชนิดหนึ่ง ที่สามารถเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานแสงสว่างได้
LED
ถ้าคุยกันในภาษาอิเล็กทรอนิกส์ เราเรียกว่าไดโอดเปล่งแสง ขนาด 1 รอยต่อPN
เมื่อเราให้ไฟบวกด้าน P และไฟลบด้าน N อิเล็กตรอนและโฮลจะไหลมารวมกัน
อิเล็กตรอนจะปลดปล่อยพลังงานออกมา ในรูปแบบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ถ้าการปลดปล่อยพลังงานนี้ อยู่ในช่วงคลื่นที่เราสามารถมองเห็นได้
เราก็สามารถมองเห็นแสงที่ออกมาจากตัวไดโอดชนิดนี้ได้
สารกึ่งตัวนำ
ที่ใช้เป็นส่วนผสมหลัก จะเป็นสารผลึกแกเลียม(Ga) โดยที่สีต่างๆ เช่นสีแดง
,สีเขียว ,สีส้ม จะเกิดขึ้นจากสารที่ใส่เจือปนเข้าไปบนผลึกแกเลียม
 LED
ในอดีตส่วนใหญ่จะถูกนำมาใช้งานเป็นส่วนแสดงผลการทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้า
เช่นการแสดงการเปิดปิดของอุปกรณ์ไฟฟ้า สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ
ตัวหลอด LED เองเมื่อทำให้เกิดแสงขึ้นจะกินกระแสน้อยมากประมาณ 1-20mA มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ทนทานต่อสภาวะอากาศ การสั่นสะเทือน และมีหลากหลายสีใช้เลือกใช้ LED
ได้ถูกพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในด้านสีของแสงที่เปล่งออกมา
ไม่ว่าจะเป็นสีแดง ,สีเขียว ,สีส้ม หรือที่ผลิตได้ท้ายสุด
และทำให้วงการแอลอีดีพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วคือสีน้ำเงิน
ซึ่งการเกิดขึ้นของแอลอีดีสีน้ำเงินนี้ ทำให้ครบแม่สี 3 สี คือ สีแดง
สีเขียว และสีน้ำเงิน และเกิดเป็นจุดเริ่มต้นของจอแอลอีดี
และแอลอีดีในงานไฟประดับต่างๆความยาวคลื่นของแอลอีดีสีต่างๆ
200-280nm UVC ultraviolet range, which is highly toxic and extremely harmful to plants.280-315nm Includes harmful UVB ultraviolet light, which causes plant colors to fade.315-380nm Range of UVA ultraviolet light that is neither harmful nor beneficial to plant growth.380-400nm Start of visible light spectrum. Process of chlorophyll absorption begins. UV protected plastics ideally block out any light below this range.400-520nm This range includes violet, blue, and green bands. Peak absorption by chlorophyll occurs, and a strong influence on photosynthesis (promotes vegetative growth.)520-610nm This range includes the green, yellow, and orange bands and has less absorption by pigments.610-720nm This is the red band. Large amounts of absorption by chlorophyll occur, and most significant influence on photosynthesis (promotes budding and flowering.)720-1000nm There is little absorption by chlorophyll here. Flowering and germination is influenced. At the high end of the band is infrared, which is heat.1000+ Totally infrared range. All energy absorbed at this point is converted to heat.ที่มา:Stealth Grow LEDจากรูป เราสามารถแบ่งแอลอีดีได้ 2 ส่วน คือส่วนที่เป็นแหล่งกำหนดแสงที่มองไม่เห็น และเป็นแหล่งกำเนิดแสงที่มองเห็นได้
เรามาดูแอลอีดีที่เป็นแหล่งกำเนิดแสงที่มองไม่เห็น
จะพบว่าเป็นแอลอีดีที่กำเนิดแสงใต้แดง
หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าแสงอินฟาเรด
เราสามารถพบเห็นแอลอีดีประเภทนี้ได้ทั่วๆไปจากรีโมทเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิด
ต่างๆ ส่วนแอลอีดีที่ให้แหล่งกำเนิดแสงที่มองเห็น จะให้แสง สีต่างๆกัน
ซึ่งความแตกต่างนี้จะขึ้นอยู่กับสารเจือปนที่ใส่ลงไปในผลึก Ga
จากการที่เรามองเห็นแสงจากแอลอีดี สีต่างๆกัน เช่นสีแดง ส้ม เหลือง ฯลฯ
ก็เพราะว่าเกิดความแตกต่างกันของความยาวคลื่นแสง
เช่นแสงสีแดงความยาวคลื่นประมาณ 0.7um แสงสีน้ำเงินประมาณ 0.48umการใช้งานแอลอีดี
จากที่ผมได้กล่าวมาแล้วข้างต้น เป็นเพียงแอลอีดีและการพัฒนาการในอดีต
ในปัจจุบันนี้ แอลอีดีได้มีการพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วมาก
และบริษัทชั้นนำต่างๆ ได้หันมาคิดค้นและวิจัยในเรื่องแอลอีดี
เหตุผลส่วนหนึ่งอาจเพราะว่า
การพัฒนาความสว่างของแอลอีดีสามารถพัฒนาได้สว่างขึ้นอย่างรวดเร็ว
เมื่อเทียบกับค่าลูเมนต่อวัตต์ของแอลอีดีกับค่าลูเมนต่อวัตต์ของหลอดไฟชนิด
อื่นๆ แอลอีดีมีแนวโน้มดีกว่ามากๆ
ซึ่งตอนนี้ได้มีการพัฒนาความสว่างของแอลอีดีขึ้นไปมากกว่า 200lm/W แล้ว
ซึ่งเมื่อเราเทียบหลอดใส้ทั่วๆไปหรือหลอดฟลูออเรสเซ็นต์นั้นค่า lm/W
อยู่ที่ประมาณ 30-80lm/W เท่านั้น
เมื่อเรามองถึงอายุการใช้งานของแอลอีดีอยู่ประมาณ 50,000-100,000 ชั่วโมง
(ขึ้นอยู่กับคุณภาพของแอลอีดีและวงจรขับ)
ซึ่งก็มีอายุการใช้งานที่ยามนานกว่าหลอดที่ให้แสงสว่างชนิดอื่นๆมาก
เมื่อเรามองในเรื่องคุณภาพของแสง
ตัวหลอดแอลอีดีสามารถปลดปล่อยคลื่นแสงออกมาอยู่ในช่วงความยาวคลื่นที่กำหนด
เท่านั้น เช่นสีน้ำเงินก็จะให้ความยาวคลื่นที่ 0.48um
แต่เมื่อเรามองหลอดชนิดอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นหลอดไส้ หลอดฟลูออเรสเซ็นต์ หลอด
Metal Halide หรือหลอดอื่นๆ ที่มีการปล่อยประจุไฟฟ้าออกมา
หลอดจำพวกนี้ส่วนใหญ่นอกจากที่ให้แสงสว่างแล้ว
ยังมีการปล่อยพลังงานอื่นๆออกมาด้วย เช่น รังสีอินฟาเรต
รังสีอัลตราไวโอเรต ซึ่งรังสีต่างๆนี้ ส่งผลต่อวัตตถุที่มีความไวต่อรังสี
เช่น ภาพเขียนหรือแม้กะทั่งผิวหนังของเราเอง ที่ผมกล่าวมานี้
ผมมองแต่ด้านดีของแอลอีดีเท่านั้น
แต่ในความเป็นจริงแล้วแอลอีดีก็มีข้อเสียมากมายเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น
ราคาแอลอีดีในปัจจุบันมีราคาที่สูงมากเมื่อเทียบกับหลอดที่ให้แสงสว่างชนิด
อื่นๆ ราคาหลอดแอลอีดีขนาด 1 W จะตกประมาณ 150-300 บาท
ซึ่งยังไม่รวมวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ขับกระแส
แต่เรามองตัวหลอดฟลูออเรสเซ็นต์ขนาด 40 W ราคาประมาณ 80-120 บาท
ซึ่งปัจจัยในด้านราคานี้
ทำให้แอลอีดีไม่สามารถใช้แทนหลอดฟลูออเรสเซ็นต์ได้
แต่นี่ก็ไม่ใช่ทางตันของตัวแอลอีดี เพราะถ้าใช้กับไฟทางหรือจุดที่เล็กๆ
ที่ไม่ต้องการความสว่างสูง แอลอีดีก็สามารถใช้ทดแทนได้
และก็ยังมีข้อเสียอีกหลายๆข้อซึ่งผมจะไม่ขอกล่าวในบทความนี้
ในปัจจุบันแอลอีดีมีให้เราเลือกใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ
มีขนาดการขับกระแสตั้งแต่ 1mA-มากกว่า 1A การแบ่งแอลอีดีสามารถแบ่งได้ 2
แบบตามลักษณะ packet 1.แบบ Lamp Type
เป็นแอลอีดีชนิดที่ขายกันทั่วไป มีขายื่นออกมาจากตัวอีพล็อกซี่ 2
ขาหรือมากว่า ถ้าตามภาษาช่างเราจะเรียกแอลอีดีชนิดนี้ว่า แอลอีดีแบบทลูโฮล
แอลอีดีแบบ Lamp Type นี้จะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ 3 mm. ขึ้นไป
การขับกระแสของหลอดแอลอีดีชนิด Lamp Type
ตัวผู้ผลิตจะออกแบบให้ขับกระแสได้ไม่เกิน 150mA เหตุผลที่เป็นเช่นนี้
เพราะแอลอีดีจะถูกเคลือบด้วยอีพล็อกซี่ ทั้งหมด
เส้นทางการระบายความร้อนออกจากตัวแอลอีดีจึงน้อย
แต่แอลอีดีชนิดนี้สามารถนำไปใช้ทั้งภายในและภายนอก
ซึ่งจะทนทานต่อสภาวะอากาศต่างๆได้มาก 2.แบบ Surface Mount Type มีลักษณะ packet เป็นตัวบางๆ
เวลาประกอบต้องใช้เครื่องมีชนิดพิเศษในการประกอบ แอลอีดีSMTนี้
มีขนาดการขับกระแสตั้งแต่ 20 mA – มากกว่า 1A แอลอีดีแบบ SMT
ถ้าสามารถขับกระแสตั้งแต่ 300mA ขึ้นไปเราจะเรียกว่า power LED
และจะบอกหน่วยเป็นวัตต์
การใช้งานส่วนใหญ่จะใช้ภายในเพราะสารเคลือบหน้าหลอดแอลอีดีส่วนใหญ่เป็นซิลิ
โคน ซึ่งละอองน้ำสามารถซึมผ่านเข้าสู่ภายในได้
และละอองน้ำหรือความชื้นยังสามารถซึมผ่านส่วนต่างของตัวแอลอีดีได้
แต่ก็ยังมี power led บางยี่ห้อที่สามารถออกแบบให้ใช้ภายนอกได้
ซึ่งวัสดุที่ใช้เคลือบหลอดก็จะเป็นชนิดพิเศษ การนำแอลอีดีไปใช้งานในรูปแบบต่างๆ
เนื่องจากแอลอีดีมีอายุการใช้งานที่มากกว่า 50,000 ชั่วโมงขึ้นไป
ถ้าเราใช้งาน 10 ชั่วโมงขึ้นไป ก็จะสามารถใช้ได้มากว่า 10 ปีขึ้นไป
(โดยทุกอย่างต้องถูกควบคุมตามข้อมูลของผู้ผลิต) แต่ในความเป็นจริง
เราไม่ได้ใช้งานแอลอีดีตามข้อมูลที่ผู้ผลิตให้ไว้ทุกอย่าง อันเนื่องมาจาก
สภาพภูมิอากาศ ความชื้น อุณหภูมิ วงจรขับกระแส
ดังนั้นการใช้งานจริงของแอลอีดีที่มาจากโรงงานที่ดี ควรทนทานอย่างน้อย 3
ปีขึ้นไป การใช้งานแอลอีดีสามารถแบ่งการใช้งานได้ 2
รูปแบบใหญ่ๆ คือ 1 การใช้งานในด้านการตกแต่ง
การใช้แอลอีดีจะเป็นลักษณะตกแต่งเปลี่ยนบรรยกาศ ความบันเทิงต่างๆ
การใช้งานแอลอีดีในลักษณะนี้ ส่วนใหญ่จะใช้แอลอีดีสีแดง สีเขียว
และสีน้ำเงิน มาเป็นส่วนประกอบ ซึ่งเราสามารถนำสีทั้ง 3
นี้มาเป็นส่วนประกอบในการผสมสีต่างๆได้ รูปแบบที่ 2
การใช้งานแสงสว่างทั่วไป
การใช้งานส่วนใหญ่จะเน้นในแนวที่ใช้แทนหลอดไฟเดิมๆส่วนใหญ่จะใช้เป็นแอลอีดี
สีขาว สีวอร์ม การใช้แอลอีดีในแบบนี้ส่วนใหญ่จะใช้ในจุดที่ติดตั้งยาก
หรือต้องการความประหยัด
สรุปการใช้งานแอลอีดีนั้นใช้งานได้ไม่ยาก
แต่เราต้องมีความรู้เบื้องต้นพอสมควร เช่น
สีของหลอดว่าอยู่ในโทนที่เราต้องการหรือไม่
คุณภาพของหลอดแอลอีดี(แหล่งที่มา) และกำลังไฟที่ใช้ของแอลอีดี
เพียงเท่านี้เราก็สามารถใช้งานแอลอีดีได้แล้วครับ รอพบกับการใช้งานแอลอีดี ในตอนหน้่านะครับ ^.^
|
|
|
|